เราต้องย้อนกลับมาตีโจทย์ให้แตกก่อนว่า จริงๆแล้ว FB คือ Platform ที่เรียกว่า “Social Network” ดังนั้นสิ่งที่ FB ต้องการมากที่สุดในการทำให้ Platform ยังคงอยู่ได้และไม่ร้าง ก็คือ “Content” แล้วสายเทาอย่างเราๆ เนี่ยจะทำคอนเทนต์ประมาณไหนดี
Content is King แล้ว Content แบบไหน FB ชอบ (ยาวไปเลือกอ่าน)
เข้าใจ Algorithm Facebook เบื้องต้น
Facebook เป็นระบบที่มีการ “ควบคุม” การกระทำของผู้ใช้งาน ให้สร้าง “Content” ไปในแนวทางที่ FB ต้องการ (โดยมีการตรวจจับด้วย AI ตลอดเวลา)
ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณลองโพสวิจารณ์ Policy ของ Facebook สิ หรือลองวิจารณ์ระบบ หรือวิจารณ์ Mark ดู แอคคุณจะปลิวโดยไม่รู้ตัวได้เลย (ผมท้าเพราะผมเคยโดนแล้ว คือการ capture หน้า policy มาโพส แล้วผมโดนยืนยันตัวตนเลย)
นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่า FB มีระบบ Regcognize ตลอดเวลา เช่นทำ OCR , อ่าน Subtitle ใน video อ่านเสียงในวีดีโอ
โดย Facebook พัฒนาระบบควบคุม “Content” มาตลอดเวลา เช่นระบบ NLP , Spectrum , Horizon , Pythia โดยจังหวะที่เค้าจะป้อน data ให้ AI ทำงานนั้น เค้าจะใช้วิธี “ปล่อยผี” และ “ช่วยดัน”
เช่นช่วงนึง เค้าปล่อยให้มีการละเมิด “ถ่ายทอดสดฟุตบอล” โดยไม่บล๊อคอะไรเลย แถมดันให้ด้วย ทำให้มีคนละเมิดมากมายและเอาไปผูกกับการพนัน แต่นั่นเป็นเพราะ FB ต้องการให้ AI เรียนรู้ได้เร็ว จึงปล่อยผี สุดท้ายเมื่อ AI สามารถตรวจจับเนื้อหาได้ว่า ใน live นั้น มีส่วนที่เรียกว่าพื้นสนามสีเขียว และมีการเคลื่อนไหวของฟุตบอล FB จะรู้แม้กระทั่งการละเมิดนั้นเป็นการถ่ายที่ถูกลิขสิทธิ์หรือผิดลิขสิทธิ์
เมื่อ AI ทำงานได้ตามที่ทีมงานต้องการ เค้าจะหยุดปล่อยผี และปล่อยให้ AI ควบคุม content ครับ และใช่แล้วหลังจาก AI ทำงาน คุณก็เลยไม่เห็นมีการละเมิดถ่ายบอลอีกเลย
เราจึงเห็นการแบนอัตโนมัติจาก AI ที่ฉลาดขึ้นทุกๆวัน เช่น คุณ live สด แล้วแอบเปิดเพลงคลอเบาๆ แต่เพลงมีลิขสิทธิ์ live คุณจะโดนดูดเสียงออก และโดนปิด live อัตโนมัติเอง นั่นเพราะว่า AI มันสามารถทำได้ถึงที่วิศวกรของ FB ต้องการแล้ว
และนี่คือสิ่งที่ FB ล้ำกว่า Platform อื่น คือ AI ฉลาดมาก (อย่างตอนนี้เค้ากำลังปล่อยผีให้มีการละเมิดฉายหนัง เพื่อที่จะเรียนรู้การควบคุมหนัง เพราะ FB กำลังจะลงมาแข่งเรื่อง Subscription Streaming)
แล้ว Content แบบไหนที่ Facebook ไม่ชอบกันล่ะ ?
จากที่ผมเล่าไปนั้นแสดงให้เห็นว่า FB ไม่ต้องการ Content ที่เป็นอันตรายต่อระบบ ซึ่งแยกได้ง่ายๆดังนี้
1. ละเมิดลิขสิทธิ์ (เพราะ FB จะโดนฟ้องโดยตรง ในฐานะเจ้าของ Platform)
2. ลามกอนาจาร (เพราะสังคมจะต่ำลง ถ้าไม่จำกัดสิทธิ จะเหมือนกับ VK) ดังนั้นถ้าคุณโพสภาพโป๊ตัวเอง หรือเริ่มเห็นเรือนร่าง คุณจะเริ่มโดนปิดแอคเคาท์ในที่สุด
3. ขายสินค้าในลักษณะแสดง Benefit มากกว่า Feature นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ FB ไม่ต้องการ ในกรณีที่คุณขาย Benefit นำ Feature แปลว่า คุณกำลังพยายามขายโดยใช้ “Emotional” ซึ่งทำลายผู้ใช้งานของ FB และผลลัพธ์นั้นถ้าไม่ได้ผลจริง จะทำให้ User รู้สึกมีประสบการณ์ที่ล้มเหลวกับระบบ (เสียเงิน ได้ของที่ใช้งานไม่ได้จริง ก็จะแสดงออกด้วย comment ที่เป็น negative feedback)
ซึ่งคุณจะเห็นได้ตั้งแต่แรกว่า ทำไม FB ถึงไม่เคยคิดทำปุ่ม dislike ออกมาเลย เพราะเค้ารู้ว่า ธรรมชาติมนุษย์ชอบแต่ positive feedback และรับไม่ได้กับ negative feedback ดังนั้น FB จะพยายามปิดเพจ และแบนโฆษณา และ โพส ทุกตัว ที่มี Negative Feedback ไม่ว่าจะที่คอมเมนท์ , inbox ถ้าเป็นการมุ่งขายสินค้า/บริการ จะโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษครับ
จริงๆมีแบบอื่นอีกแต่คิดไม่ออก ถ้าคิดออกค่อยมาเติมให้ละกัน แต่ถ้าดูจากที่คนอื่นสรุป ก็จะประมาณนี้ครับ
– เนื้อหาโป๊เปลือย และกิจกรรมทางเพศ (nudity & sexual activity)
– เนื้อหาความรุนแรง (content violence)
– โฆษณาชวนเชื่อของผู้ก่อการร้าย (terrorist propaganda)
– เนื้อหาที่ใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง (hate speech)
– บัญชีผู้ใช้ปลอม (fake accounts)
– สแปม (spam)
การให้ Rate Content
ทีนี้การจัด Rate content ของ FB จะคิดออกมาแบบนี้ ง่ายๆก่อนละกัน (ผมสรุปเองนะ)
1. Real Content ระบบ เมื่อตรวจสอบว่าเป็น Content จริงและเป็น Content ธรรมดา ก็จะนำส่งโดยปกติเลย ในลักษณะของการเห็น Feed ปกติ
2. Advertorial คือ Content ที่แอบแฝงการทำธุรกิจอยู่ ซึ่ง AI ถ้าตรวจจับได้ว่าคุณกำลังพยายามขาย มันจะบอกคุณว่าจะแทรกปุ่ม message , inbox ไหม ? เห็นไหมว่ามันพยายามที่จะเรียนรู้ตรงนี้มากขึ้น เมื่อมันพบว่าคุณกำลังพยายามขาย มันจะเริ่มลด Rate ความสำคัญ Content คุณลง
3. Commercial คือ Content ที่ขายจ๋าๆเลย โดยมี Direct Keyword ที่สื่อโดยตรงเลย FB ไม่ได้ไม่ชอบตรงนี้ แต่มันคิดว่าอันนี้จะไม่นำส่ง หรือน้ำส่งน้อยมากๆ เนื่องจาก มันจะบีบให้คุณไปรัน Ads และบีบให้ไปลงใน Market place ของมันแทน
AI จะตรวจจับเพื่อทำ Rate content ตรงนี้ และจัด Rate ของ Content ที่จะไปมีผลต่อการ “นำส่ง” และ “ส่งหาใคร” และ “แพงเท่าใด” ด้วยครับ
โดยมี Factor อื่นๆเข้ามาคำนวณด้วยนั่นคือ “Reactions” ครับ
เมื่อทุกอย่างเข้าตามสิ่งที่ AI ต้องการ มันจะออกผลลัพธ์มาเป็นคะแนน และคะแนนนั้นจะมีผลต่อการคิดคำนวณ ต้นทุนค่าโฆษณาของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
Content ที่ FB ต้องการ คือ Content ที่ มี Reactions ต่อระบบ ยิ่งมากเท่าไร FB จะประเมินว่า Content นั้นดี และจะพยายามนำส่งให้ได้มากที่สุด ด้วยต้นทุนที่น้อยที่สุด เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งานและระบบครับ
ดังนั้นหากอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วคุณยังอยากจะขายของให้รอด สิ่งที่คุณต้องทำและเอาใจ AI ของ FB คือ สร้าง Content ที่มี Reactions เยอะๆ ให้เกิด Engagement หรือการมีส่วนร่วมในโพสเยอะๆ แล้ว FB ก็จะเริ่มให้ AI สนใจในตัวคุณ สนใจในเนื้อหาของคุณ สนใจในโพสของคุณ และสนใจใน Profile / Page ของคุณเอง
นี่คือเหตุที่คุณจะเห็น Feed ของคนที่ FB เห็นว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับคุณมากที่สุด ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนมันจะนำส่งโดยพิจารณาจากว่าใครโพสก่อน/หลัง แต่ปัจจุบันไม่ใช่ครับ มันดูพฤติกรรม (Behavior) และดูการตอบสนองต่อโพสของคุณ และมันเลือกเอา Content ที่คุณชอบ มาให้คุณอ่าน
AI มันจะพยายามป้อน Content ที่คุณมี Positive และ Feedback ด้วยเท่านั้น
และพอมองย้อนกลับไป คุณก็ต้องมองให้ออกว่า Audience ของคุณจะมีประสบการณ์ที่ดีต่อ Content คุณได้อย่างไร คุณถึงจะทำ Content ที่ถูกใจกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ และนั่นแหละคือ Content ที่ FB ต้องการครับ
สรุป
** ช่วงหลังถ้าคุณสังเกตใน Feed คุณ จะเริ่มมีโพสที่ FB suggest ให้คุณอ่านเอง นั่นแหละครับเค้าเริ่มทดลอง AI วิเคราะห์ความคิดคุณแล้ว โดยโยน Content มาทดสอบ Action ของคุณ เพื่อไปวิเคราะห์ความคิดคุณแล้วตีออกมาเป็น Interest เอง **
ถ้าคุณเล่นกับ AI แล้วเริ่มเห็นผล แสดงว่าคุณมาถูกทางละค๊าบ Content คุณต้องหัดสร้างไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะชอบ ถ้าอยากมาสายนี้นะครับ
แต่ผมกล้ายืนยันเลยว่า Real Content คือสิ่งที่ FB ต้องการมากที่สุด ไม่ว่าคุณจะทำมันบน Profile หรือว่า Page หรือว่า “ยิง Ads”
บทความหน้าจะเป็นอะไรนั้น มาติดตามกันต่อนะครับ ขอให้สายเทายิงแอดกันปังๆ ทุกคนเลย
เฮียบอย